Guidelines for Flood Situations – Cars
Lockton มีความห่วงใยต่อลูกค้าผู้ทำประกันภัยรถยนต์ผ่าน Lockton กรณีภัยพิบัติน้ำท่วมที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน จึงได้จัดทำข้อควรปฏิบัติและความรู้เกี่ยวกับสินไหมรถยนต์เบื้องต้นกรณีเกิดเหตุน้ำท่วมขึ้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องตามเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์
หากท่านมีข้อสงสัยประการใดเพิ่มเติม สามารถติดต่อทีมสินไหมรถยนต์ Lockton ได้ตามเบอร์ติดต่อด้านล่าง
ข้อควรปฏิบัติ เมื่อต้องขับรถลุยน้ำท่วมไม่สูงมาก และกรณีน้ำท่วมรถ
1. ก่อนถึงจุดน้ำท่วมที่สามารถขับผ่านได้ ต้องลดความเร็วลง
หากขับรถมีความเร็วผ่านบริเวณน้ำขัง รถลอยตัวและอาจเสียการทรงตัวลื่นไถลไปกับสายน้ำและควบคุมรถไม่ได้ ควรขับโดยใช้ความเร็วน้อยกว่า 60-80 กม. ต่อ ชม.
2. ระดับน้ำขนาดไหนที่พอจะขับผ่านได้
โดยทั่วไปสำหรับรถเก๋ง น้ำท่วมขังประมาณไม่เกิน 30 ซ.ม. หรือ หนึ่งฟุต เกือบครึ่งล้อรถ หากยังฝืนขับลุยต่อกรณีน้ำสูงกว่านี้ มีโอกาสเครื่องยนต์จะดับได้
3. ถ้าจำเป็นต้องขับรถผ่านน้ำท่วม
อันดับแรกให้ปิดระบบเครื่องปรับอากาศในรถ (เพราะใบพัดระบบแอร์อาจพัดเอาน้ำเข้าตัวเครื่อง หรือ ระบบไฟฟ้าในรถได้) เปิดกระจกระบายอากาศ
4. ขณะขับลุยน้ำให้ใช้เกียร์ต่ำ
สำหรับรถยนต์เกียร์ธรรมดา คือเกียร์ 1-2 , รถยนต์เกียร์ออโต้ คือเกียร์ L และ รักษาอัตราเร่งไว้ให้ได้ประมาณ 1500-2000 รอบ หากรอบเครื่องต่ำกว่านี้เครื่องอาจดับ และ หากรอบเครื่องสูงกว่านี้อาจจะดูดอากาศ และ น้ำเข้าเครื่องยนต์ได้อีก
5. ขณะขับลุยน้ำให้รักษาระยะห่างรถคันหน้าให้มาก
เนื่องจากระบบเบรคจะแช่น้ำอยู่ทำให้ประสิทธิภาพต่ำลงมาก และ เมื่อขับพ้นน้ำแล้วก็ให้ขับช้าๆ และ แตะเบรคเป็นช่วง ๆ เพื่อให้ผ้าเบรคแห้ง (กรณีดิสเบรคจะแห้งได้เร็ว แต่ถ้าดรัมเบรคจะแห้งช้ากว่า)
6. หากเครื่องดับกลางน้ำ
ให้หาคนช่วยเข็นหรือเคลื่อนย้ายรถไปตำแหน่งที่น้ำไม่ท่วม และห้ามสตาร์ทรถ เพราะยิ่งสตาร์ท น้ำจะยิ่งเข้าระบบเครื่องยนต์และทำให้รถเกิดความเสียหายเพิ่มขึ้น
7. ถ้ารถจมน้ำ
ในกรณีที่จอดรถไว้ แล้วรถจมน้ำในระดับสูงท่วมเครื่องยนต์ ให้ปฏิบัติ ดังนี้
- ห้ามสตาร์ทรถ หรือ บิดกุญแจไปตำแหน่ง ON เด็ดขาด เพราะรถยนต์มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ระบบไฟฟ้า ที่ควบคุมการทำงานของระบบต่าง ๆ จะทำให้เกิดการลัดวงจรเสียหายได้ วิธีที่เหมาะสมคือ การถอดขั้วแบตเตอรี่ออกทันทีเพื่อตัดระบบจ่ายไฟในรถยนต์
- นำรถเข้าอู่หรือศูนย์บริการเปลี่ยนถ่ายของเหลวทั้งหมด เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรค น้ำมันพวงมาลัยน้ำมันเพาเวอร์ น้ำมันเฟืองท้าย น้ำหล่อเย็น เป็นต้น
- ส่วนช่วงล่างหรือระบบรองรับ ควรให้ช่างอัดจาระบีที่ลูกหมากใหม่ ตรวจเช็คระบบเบรคว่าผิดปกติหรือไม่ โดยเฉพาะรถระบบเบรคแบบดรัมที่น้ำอาจเข้าได้ ต้องถอดออกมาทำความสะอาด
น้ำท่วมรถแบบไหนที่สามารถเคลมประกันรถยนต์ได้ และเคลมไม่ได้
สิ่งที่ต้องรู้เมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมรถ คือ “ไม่ใช่น้ำท่วมรถแล้วสามารถเคลมประกันได้ทั้งหมด” เนื่องจากประกันภัยมีเงื่อนไขในการเคลมประกันอยู่ แล้วน้ำท่วมแบบไหนประกันจ่าย/ไม่จ่ายบ้าง ?
แบบประกันภัยรถยนต์ ที่คุ้มครองน้ำท่วม
- กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 1
- กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ประเภท 2 ประเภท 3 และประเภท 5 (2+ และ 3+) ที่แนบเอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์คุ้มครองภัยน้ำท่วม หรือเอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์คุ้มครองภัยธรรมชาติ
เคลมน้ำท่วมรถยนต์ ที่ประกันไม่จ่ายค่าสินไหมทดแทน (กรมธรรม์ไม่คุ้มครอง)
หตุน้ำท่วมรถที่บริษัทประกันภัยจะจ่ายค่าสินไหมทดแทนได้ จะมีเงื่อนไขว่า จะต้องไม่เกิดจากความประมาทของคนขับขี่รถยนต์ที่เอาประกันภัย หมายความว่า ผู้ขับขี่ต้องไม่ตั้งใจที่จะนำรถไปในที่ที่เสี่ยงภัย เช่น มองเห็นอยู่แล้วว่าถนนข้างหน้านั้นมีน้ำท่วมขังอย่างมาก มีการติดป้ายแจ้งเตือน แต่ผู้ขับขี่ก็ยังเลือกที่จะขับรถฝ่าเข้าไป จนเป็นเหตุให้น้ำท่วมรถซึ่งถือว่า เกิดจากความประมาทจงใจของผู้ขับขี่ อีกกรณีคือเมื่อรัฐบาลประกาศว่าถนนเส้นไหนที่มีความเสี่ยงภัยน้ำท่วม แนะนำให้เลี่ยงเส้นทางนั้น แต่ผู้ขับขี่ยังขับรถเข้าไปในถนนเส้นนั้น ก็ถือว่าน้ำท่วมรถยนต์ที่เกิดจากความประมาทจงใจของผู้ขับขี่เช่นกัน
นอกจากนี้ หากรถยนต์เกิดประสบภัยน้ำท่วมนอกเหนืออาณาเขตความคุ้มครอง ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีที่บริษัทประกันภัยจะไม่ให้ความคุ้มครองแก่รถยนต์ที่ทำประกันภัยไว้ เช่น ผู้ขับขี่ขับรถออกจากเขตแดนประเทศไทย ไปเที่ยวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งในขณะนั้นเกิดฝนตกหนักจนน้ำท่วม ส่งผลให้รถยนต์ที่ทำประกันภัยไว้เกิดความเสียหาย กรณีนี้ประกันภัยก็จะไม่ให้ความคุ้มครอง เนื่องจากรถยนต์ประสบเหตุนอกประเทศไทยซึ่งถือเป็นอาณาเขตนอกเหนือความคุ้มครองนั่นเอง
เคลมน้ำท่วมรถยนต์ ที่ประกันจ่ายค่าสินไหมทดแทน (กรมธรรม์คุ้มครอง)
เหตุน้ำท่วมรถที่ประกันจะจ่ายค่าสินไหมทดแทน จะต้องไม่ได้เกิดจากความประมาทหรือจงใจของผู้ขับขี่ เช่น มีลักษณะการขับรถท่ามกลางฝนตกหนัก แล้วน้ำก็ค่อยๆ เอ่อล้นจนท่วมถนนทำให้ “น้ำท่วมรถ” ได้รับความเสียหาย หรือ ถ้าจอดอยู่เฉยๆ ค้างคืนแล้วรุ่งขึ้นน้ำกลับท่วมจนได้รับความเสียหาย ลักษณะนี้จะเข้าข่ายของการเคลมประกัน โดยบริษัทประกันจะชดเชยค่าซ่อมแซมจากน้ำท่วมรถให้ตามความเสียหายที่แท้จริงและไม่เกินทุนประกันภัยกรณีเสียหายโดยสิ้นเชิงตาม สัญญาประกันภัยรถยนต์ที่ทำไว้
ข้อควรปฏิบัติในการทำสินไหมประกันภัยรถยนต์กรณีถูกน้ำท่วม
- โทรศัพท์แจ้งเคลมไปยังบริษัทประกันภัย (จดบันทึกชื่อผู้รับแจ้ง วันที่ เวลา และ เลขรับแจ้งไว้)
- ถ่ายรูปรถในขณะถูกน้ำท่วม (ถ่ายให้เห็นทะเบียนรถ เพื่อเป็นหลักฐานว่ารถคันเดียวกับที่เอาประกันไว้)
- ตรวจสอบความเสียหายในรถ และถ่ายรูปไว้ พร้อมบันทึกความเสียหายโดยระบุวันเวลาสถานที่เกิดเหตุท่วมขึ้น
- เตรียมเอกสารเกี่ยวกับตัวรถ เช่น เล่มทะเบียนรถ และ กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์
- นัดหมายการตรวจสภาพความเสียหายของรถยนต์กับเจ้าหน้าที่บริษัทประกันภัย เพื่อเตรียมจัดซ่อม
- กรณีรถวิ่งไม่ได้ ต้องแจ้งให้ทางบริษัทประกันภัยส่งรถยกมาลาก (บริษัทประกันภัยจะรับผิดชอบค่ารถยกลากไม่เกิน 20% ของค่าซ่อม)
- เมื่อนำรถเข้าอู่ซ่อมแล้ว เก็บใบรับรถไว้ ตรวจสอบกำหนดระยะเวลาการซ่อมกี่วัน
- กรณีประสบปัญหาหรือการซ่อมแซมล่าช้าเกินความเหมาะสม หรือ บริษัทประกันภัยประวิงการซ่อม หรือ อู่ซ่อมในเครือบริษัทประกันภัยซ่อมล่าช้าเกินกำหนดโดยไม่มีเหตุผลอันควร ผู้เอาประกันภัยสามารถเรียกร้องค่าขาดประโยชน์การใช้รถได้ ซึ่งต้องเจรจากันตามความเหมาะสม
- กรณีประสบปัญหา ท่านสามารถโทรปรึกษา ทีมสินไหมรถยนต์ Lockton ตามที่ได้ระบุไว้ด้านล่าง
บริษัทประกันภัยจะชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อรถยนต์ หรือ ส่วนหนึ่งส่วนใดของรถยนต์ได้รับความเสียหายอันมีสาเหตุจากน้ำท่วม ตามความเสียหายที่เกิดขึ้น ดังนี้
1. กรณีรถยนต์เสียหายสิ้นเชิง
หากรถยนต์ที่ประสบเหตุทำทุนประกันภัยไว้ไม่ต่ำกว่า 80% ของมูลค่ารถยนต์ในขณะที่ทำประกันภัย บริษัทประกันภัยจะทำจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามทุนประกันภัย ซึ่งผู้เอาประกันหรือผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์จะต้องโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์นั้นให้แก่บริษัทประกันภัยทันที โดยบริษัทประกันภัยจะเป็นผู้รับผิดชอบในค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการโอนนั้นทั้งหมด รวมถึงค่าธรรมเนียมการโอนและค่าภาษีมูลค่า เพิ่มและให้ถือว่าการคุ้มครองรถยนต์นั้นเป็นอันสิ้นสุด คำว่า “รถยนต์เสียหายสิ้นเชิง” หมายถึง รถยนต์ได้รับความเสียหายจนไม่อาจซ่อมให้อยู่ในสภาพเดิมได้หรือเสียหายไม่น้อยกว่า 70% ของมูลค่ารถยนต์ในขณะเกิดความเสียหาย ได้แก่ น้ำท่วมมิดหลังคาและน้ำท่วมเกินแผงหน้าปัดหรือคอนโซลหน้ารถ
2. กรณีรถยนต์ได้รับความเสียหายแต่ไม่ถึงกับเสียหายสิ้นเชิง
บริษัทประกันภัยและผู้เอาประกันภัยอาจตกลงกันให้มีการซ่อม หรือ เปลี่ยนรถยนต์ซึ่งมีสภาพเดียวกันทดแทนได้ รวมทั้งอุปกรณ์ของรถยนต์นั้น หรือจะชดใช้เงินเพื่อทดแทนความเสียหายหรือสูญหายนั้นก็ได้
3. การดูแลขนย้าย
เมื่อรถยนต์เกิดความเสียหาย ซึ่งมีการคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ บริษัทประกันภัยจะจ่ายค่าดูแลรักษารถยนต์ และ ค่าขนย้ายรถยนต์ทั้งหมดนับแต่วันที่เกิดเหตุจนกว่าการซ่อมแซม หรือ การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจะเสร็จสิ้นตามจำนวนเงินที่จ่ายไปจริง แต่ไม่เกิน 20% ของค่าซ่อมแซม